Events

Juniper SP Innovation Day 2018

Juniper Networks ร่วมกับ DataOne Asia ประเทศไทย และเหล่าพันธมิตร จัดงานสัมมนา Service Provider Innovation Day 2018 อัปเดตเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับผู้ให้บริการระบบอินเทอร์เน็ต ศูนย์ข้อมูล และเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตอบโจทย์ความต้องการด้าน Multicloud และ Edge Computing ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมระบบเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยยุคใหม่

โลกก้าวเข้าสู่ยุค Multicloud แต่ Edge Computing ก็สำคัญไม่แพ้กัน

Sui Jin Foong, System Engineer, ASEAN ได้ออกมาอัปเดตถึงแนวโน้มและความท้าทายด้านระบบเครือข่ายล่าสุด ระบุว่า กฎของมัวร์ (Moore’s Law) ซึ่งกล่าวไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็น 2 เท่าทุกๆ 2 ปี จะเริ่มถดถอยลง เนื่องจากข้อจำกัดด้านการระบายความร้อนของตัว CPU เอง ส่งผลให้ ณ ปัจจุบันนี้ ความเร็วสูงสุดของ CPU จะถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 5 GHz ในขณะที่การใช้งานทั่วไป 2 GHz จะเป็นช่วงความเร็วที่เหมาะสมที่สุด ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตชิปส่วนใหญ่จึงเน้นที่การ Scale Out เช่น เพิ่มจำนวนคอร์ มากกว่าการเพิ่มความเร็วของ CPU เพื่อให้พร้อมต่อการรองรับภาระงานที่เพิ่มมากขึ้นในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การ Scale Out นี้ก็ทำให้ส่วน Compute มีความซับซ้อนมากขึ้นตาม การมีซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการและเชื่อมต่อแต่ละ Compute Node โดยอัตโนมัติจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น ก่อให้เกิดเทคโนโลยี Orchestration ขึ้น

นอกจากนี้ จากเดิมในอดีตเราได้ผ่านโมเดลการเชื่อมต่อและประมวลผลทั้งแบบ Centralized Compute และ Distributed Compute มาแล้ว แต่เมื่อส่วน Compute และ Data Transport มีราคาถูกลง จึงก่อให้เกิดโมเดลการให้บริการแบบ Cloud Computing ขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น Private Cloud หรือ Public Cloud ของผู้ให้บริการแต่ละรายต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนแตกต่างกันไป การผสานรวมจุดแข็งของระบบ Cloud แต่ละแบบเข้าด้วยจึงกลายเป็นแนวคิดแบบ Multicloud ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการใช้งานให้ถึงขีดสุด

แม้กระนั้น Cloud Computing ก็ยังคงมีจุดอ่อนสำคัญเรื่อง Latency เนื่องจากส่วน Compute อยู่ไกลจากผู้ใช้บริการจนเกินไป ทำให้ไม่เหมาะต่อการให้บริการแอปพลิเคชันบางประเภทที่ต้องการ Latency ต่ำ ผู้ให้บริการระบบ Cloud หลายรายจึงเริ่มให้บริการ Edge Computing เพื่อให้ส่วน Compute อยู่ใกล้ผู้ใช้บริการมากขึ้น และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของแอปพลิเคชันได้ทุกรูปแบบ

อัปเดตเทคโนโลยี 3S ล่าสุด – Silicon, System และ Software

Nitin Vig หัวหน้าทีมสถาปัตยกรรมประจำ APAC Center of Excellence กล่าวถึงเทคโนโลยีใหม่ของ Juniper ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3S ได้แก่ Silicon, System และ Software สำหรับสนับสนุนการทำ Orchestration และให้บริการในยุค Multicloud ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ระบบเครือข่ายมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีความเสถียรมากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงมีการบริหารจัดการที่ง่ายและอัตโนมัติ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้

1. Silicon

Juniper Networks เป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการพัฒนาและผลิตชิปประเภท ASIC สำหรับระบบเครือข่ายมาอย่างยาวนานถึง 21 ปี โดยผลิตชิปมาแล้วกว่า 80 รุ่น ถึงแม้ว่าซอฟต์แวร์จะมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน แต่ Juniper Networks และอีกหลายบริษัทยังคงลงทุนพัฒนาฮาร์ดแวร์ (ในทีนี้คือ ASIC) ต่อไป เนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะทางดีกว่า ที่สำคัญคือสามารถอัปเดตได้เร็ว และสามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ได้ตามต้องการ

ชิป ASIC ของ Juniper Networks ถูกออกแบบโดยยึดสถาปัตยกรรม 2 แบบซึ่งมีจุดประสงค์แตกต่างกัน ได้แก่ TRIO (MX Series) สำหรับการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่น และ Express (PTX และ QFX10K Series)สำหรับการใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Juniper Networks ยังได้พัฒนาเทคโนโลยี Silicon Photonics สำหรับย้ายฟังก์ชันการทำงานบน Transceiver มาที่ชิปประมวลผลของอุปกรณ์แทน ทำให้ Transceiver ที่ใช้มีขนาดเล็กและราคาถูกลง Line Card สามารถรองรับจำนวนพอร์ตมากขึ้น สอดคล้องกับความต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำนวนมหาศาลในยุค Internet of Things

2. System

Juniper Networks ยังคงออกแบบระบบในส่วนของ Fabric, Backplane และ Cooling โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานเป็นสำคัญ ดังนี้

  • Fabric: เลือกใช้การเชื่อมต่อแบบ Cell-based Fabric เนื่องจากให้ Throughput ที่สูงกว่า และสามารถขยายระบบได้ง่ายในอนาคต
  • Backplane: ใช้การเชื่อมต่อผ่าน Fiber Optics เพื่อให้ได้อัตรารับส่งข้อมูลที่สูงกว่า ในขณะที่มีอัตราการเกิด Packet Loss ต่ำ
  • Cooling: ให้การระบายความร้อนผ่านของเหลวซึ่งนำพาความร้อนได้ดีกว่า และประหยัดพลังงานลงมากกว่า 50%

3. Software

เป้าหมายหลักของการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Juniper Networks คือการทำ Self-driven Network โดยมีการนำเทคนิค Machine Learning และ AI เข้ามาใช้เพื่อให้ระบบเครือข่ายสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญคือต้องสามารถผสานการทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งผลให้ซอฟต์แวร์ของ Juniper Networks ไม่ว่าจะเป็น Junos, Contrail หรือ Northstar ถูกออกแบบมาให้มีสถาปัตยกรรมแบบ Open รวมไปถึงมีความยืดหยุ่น และสามารถขยายระบบได้ง่ายในอนาคต นอกจากนี้ Juniper Networks ยังได้เปิดตัว ATOM (Automation, Telemetry, Orchestration & Management) ซึ่งเป็น Unified Platform สำหรับการทำ Network Orchestration และ Telemetry อีกด้วย

เพิ่มความคล่องตัวให้ Multicloud และ Edge Computing ด้วย Juniper CEM และ CEC

เนื่องจากระบบ Cloud ของผู้ให้บริการแต่ละรายมีจุดแข็งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็ว ความมั่นคงปลอดภัย หรือฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเชิงธุรกิจ หลายองค์กรในปัจจุบันจึงเริ่มกระจายภาระงานไปยัง Private Cloud และ Public Cloud หลายๆ แห่งตามความเหมาะสมเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและผลลัพธ์การใช้งานที่ดีที่สุด ก่อให้เกิดเป็นแนวคิดเรื่อง Multicloud ขึ้น จากผลสำรวจล่าสุดของ RightScale ระบุว่า ในปี 2018 นี้ ร้อยละ 81 ขององค์กรให้กลยุทธ์ Multicloud ในการดำเนินธุรกิจทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์กรใช้ระบบ Cloud จากผู้ให้บริการที่หลากหลาย ส่งผลให้โครงสร้างของ Multicloud มีความซับซ้อนและบริหารจัดการได้ยาก Juniper Networks จึงได้พัฒนา Contrail Enterprise Multicloud (CEM) ขึ้นเพื่อเพิ่มความคล่องตัวซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ Cloud Infrastructure ในปัจจุบัน โดยสามารถบริหารจัดการทั้งระบบ Cloud, Data Center, Campus, Branch และ WAN ได้แบบ End-to-end โดยไม่สนว่าจะเป็น Cloud หรือ Workload แบบใด ตอบโจทย์ทั้งทางด้าน Security, Visibility, Orchestration และ Connection

เช่นเดียวกับการบริหารจัดการ Multicloud ในส่วนของ Edge Computing เอง Juniper Networks ก็ได้นำเสนอ Contrail Edge Cloud (CEC) เพื่อให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการ Edge Computing ข้ามหลายๆ Vendors ได้เสมือนอยู่ภายใต้ Cloud Infrastructure เดียวกัน

พลิกโฉมการเชื่อมต่อของสำนักงานสาขาด้วยเทคโนโลยี SD-WAN

ปัจจุบันนี้แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ เริ่มย้ายไปให้บริการผ่านระบบ Cloud มากขึ้น การรวมทราฟฟิกทั้งหมดจากสำนักงานสาขาให้มาออกอินเทอร์เน็ตและใช้ระบบ Cloud ผ่านทาง Data Center ของสำนักงานใหญ่ก่อให้เกิดความล่าช้าและค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อที่สูง นอกจากนี้การเปิดสำนักงานสาขาใหม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายและรักษาความมั่นคงปลอดภัยเป็นจำนวนมาก กลายเป็นภาระงานอันหนักหน่วงสำหรับผู้ดูแลระบบที่ต้องเดินทางไปตั้งค่าและหาโซลูชันสำหรับเฝ้าระวังและบริหารจัดการจากศูนย์กลาง

เพื่อให้การเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานสาขาและสำนักงานใหญ่ทำได้ง่าย มีความมั่นคงปลอดภัย และเป็นไปตาม SLA ที่กำหนด Juniper Networks จึงได้เปิดให้บริการ Software-defined WAN (SD-WAN) ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการ คือ

  • รองรับการเชื่อมต่อ WAN หลากหลายประเภท เช่น MPLS, Broadband และ LTE
  • เลือกเส้นทางการเชื่อมต่อได้แบบไดนามิกตามประเภทของแอปพลิเคชัน เช่น แอปพลิเคชันเชิงธุรกิจที่สำคัญให้วิ่งผ่าน MPLS ไปสำนักงานใหญ่ ในขณะที่แอปพลิเคชัน SaaS ให้ออกอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมต่อกับระบบ Cloud จากสำนักงานสาขาได้ทันที
  • บริหารจัดการการเชื่อมต่อของสำนักงานสาขาทั้งหมดได้ง่ายจากศูนย์กลาง และสามารถติดตั้งอุปกรณ์ที่สำนักงานสาขาใหม่ได้อย่างรวดเร็วผ่านฟีเจอร์ Zero-touch Provisioning
  • มาพร้อมกับคุณสมบัติด้านความมั่นคงปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น UTM, Anti-malware, Anti-spam, URL Filtering, Application Control และยังสามารถทำงานร่วมกับ Juniper Sky Advanced Threat Prevention เพื่อตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามแบบ Zero-day ได้อีกด้วย

ผู้ที่สนใจโซลูชันของทาง Juniper Networks สามารถติดต่อผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย DataOne Asia(Thailand) Co.,Ltd. อีเมล d1.info@d1asia.co.th หรือโทร 02-686-3000

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://apacjuniper.net/theshield/th

ที่มาของข่าว จาก https://www.techtalkthai.com/

 

รวมภาพถ่ายบรรยากาศงาน

  • ​​​​​​​​​​​​​​

  •  

  •